tag:blogger.com,1999:blog-72119826623085134402024-03-13T10:39:47.025-07:00พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชกรณียกิจhttp://www.blogger.com/profile/05137124023556790968noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-7211982662308513440.post-81449627322858447172011-01-25T07:10:00.000-08:002011-02-07T08:29:51.117-08:00งานกลุ่ม โครงการในพระราชดำริ<strong><span style="color: black; font-family: inherit;">โครงการที่1 โครงการ"ชั่งหัวมัน" ตามพระราชดำริ</span></strong><br />
<span style="color: black; font-family: inherit; font-size: x-small;"></span><span style="font-family: inherit;"><br />
</span><br />
<table style="margin-left: 20px; width: 96%;"><tbody>
<tr><td style="margin-top: 50px;"><span id="ctl00_ContentPlaceHolder1_lbContentDetail" style="color: black; font-family: inherit;"></span><br />
<div style="text-align: left;"><span style="color: black; font-family: inherit; font-size: x-small;"><img alt="วิมานน้ำ รีสอร์ท" height="261" src="http://www.vimannam.com/ImageObjectHandler.ashx?img=FileSystem/Image/Activity/E8435928-1.jpg&size=800&bg=1" style="height: 261px; width: 346px;" width="346" /></span></div><span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<strong><span style="color: black; font-family: inherit;"> โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ</span></strong><br />
<span style="font-family: inherit;"><span style="color: black;"><strong> ประวัติโครงการ : </strong>ที่มาของโครงการนี้มีว่า ข้าราชบริพารในพระองค์ได้มาซื้อที่ดินบริเวณนี้สำหรับอยู่อาศัย ปลูกพืชผล ต่อมาความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัย จึงได้เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรที่ดินและได้ทรงซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวน 250 ไร่ สำหรับเพาะปลูกพืชทำเป็นโครงการตามพระราชดำริ และได้มีมีชาวบ้านได้นำมันเทศที่ปลูกมาทูลเกล้าฯ ถวาย พระองค์แต่เมื่อเสด็จกลับมิได้ทรงนำมันหัวนั้นไปด้วย แต่เมื่อเสด็จกลับมาอีกครั้งทรงพบว่ามันหัวนั้นงอกเป็นต้น จึงมีพระราชดำรัสว่ามันอยู่ที่ไหนก็งอกได้ จึงมีพระราชดำริให้จัดเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชต่างๆ โดยเน้นที่พืชท้องถิ่นของเพชรบุรี เช่น มะพร้าว ชมพู่เพชร มะนาว กะเพรา สัปปะรด ข้าวไร่พันธุ์ต่างๆ และทรงมีพระราชดำริให้ปลูกแปลงทดลองมันเทศในที่ดินส่วน ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการพระราชดำริล่าสุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังทรงให้ปรับปรุงระบบระบายน้ำที่อ่างเก็บน้ำหนองเสือ เพื่อใช้ในโครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ บ้านหนองคอกไก่ ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี อีกด้วย</span></span><br />
<span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="color: black; font-family: inherit;"> และเมื่อกราบบังคมทูล ฯ ขอพระราชทานชื่อโครงการ พระองค์จึงตรัสว่าชื่อ <strong>"ชั่งหัวมัน"</strong> ก็แล้วกัน</span><br />
<span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="color: black; font-family: inherit;"> ชื่อ <strong>โครงการชั่งหัวมัน</strong> ถือได้ว่าเป็นชื่อโครงการที่แปลก ชวนให้คิดตีความว่าชื่อนี้มีความหมายอะไร ถ้าตีความหมายตามสำนวนไทย ชั่งหัวมัน (ช่างหัวมัน) ก็หมายถึง “ไม่ต้องไปสนใจ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด ใครจะทำอะไรก็ทำไป เราไม่ต้องไปใส่ใจ” พระองค์ท่านเป็นนักปราชญ์มีสายพระเนตรยาวไกลและความคิดที่ลึกซึ้ง ชั่งหัวมันจึงเป็นชื่อที่สื่ออะไรที่มีความหมายลึกซึ้งมากยิ่งกว่าแค่เอาหัวมันมาชั่ง ซึ่งก็แล้วแต่ใครจะตีความตามแบบฉบับของตัวเองแล้วกันค่ะ ซึ่งขอบอกว่า ไม่ธรรมดาแน่ ๆ ค่ะ</span><br />
<span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="font-family: inherit;"><span style="color: black;"><strong> สถานที่ตั้ง:</strong> คลอบคลุมตำบลเขากระปุก และตำบลกลัดหลวง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (ห่างจากที่พัก วิมานน้ำ รีสอร์ท ประมาณ 15 กิโลเมตร)</span></span><br />
<span style="color: black; font-family: inherit;"></span><br />
<span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="color: black; font-family: inherit;">"โครงการชั่งหัวมันเป็นการบริหารทรัพยากรแบบบูรณาการโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยคาดว่าอนาคตจะเป็นอีกแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนโดยทั่วไปได้เข้าชม" </span><br />
<span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<strong><span style="color: black; font-family: inherit;">รูปโครงการ :</span></strong><br />
<span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="color: black; font-family: inherit; font-size: x-small;"> <img alt="วิมานน้ำ รีสอร์ท" height="314" src="http://www.vimannam.com/ImageObjectHandler.ashx?img=FileSystem/Image/Activity/ch02.jpg&size=800&bg=1" width="448" /></span><br />
<span style="color: black; font-family: inherit; font-size: x-small;"> <img alt="วิมานน้ำ รีสอร์ท" height="314" src="http://www.vimannam.com/ImageObjectHandler.ashx?img=FileSystem/Image/Activity/ch01.jpg&size=800&bg=1" width="448" /></span><br />
<span style="font-family: inherit; font-size: x-small;"><span style="color: black;"> <span style="font-family: inherit; font-size: small;"> ตำหนักที่ประทับของพระองค์</span></span></span></td></tr>
</tbody></table><span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<strong><span style="color: black; font-family: inherit;">โครงการที่2 โครงการแก้มลิง</span></strong><br />
<span style="font-family: inherit;"><br />
<span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="color: black; font-family: inherit;"><img src="http://www.sci.nu.ac.th/websci/webwin/p/sukhothaiwittayakom/images/picture/water_05.gif" /></span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: inherit;"><span style="color: black;"><em>"...ตามปกติ เวลาเราให้กล้วยกับลิง ลิงจะเคี้ยวแล้วเก็บไว้ในแก้มลิง... เขาเคี้ยวแล้วเอาไปเก็บในแก้ม น้ำท่วมลงมา ถ้าไม่ทำ <br />
"โครงการแก้มลิง" น้ำท่วมนี้จะเปรอะไปหมด อย่างที่เปรอะปีนี้ เปรอะไปทั่วภาคกลาง จะต้องทำ "แก้มลิง" เพื่อที่จะเอาน้ำปีนี้ไปเก็บไว้..."</em> </span></span><br />
<div align="right"><span style="color: black; font-family: inherit;">พระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๔๓๘</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><strong> "โครงการแก้มลิง"</strong> เป็นส่วนหนึ่งของโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลตามแนวพระราชดำริ โดยประกอบด้วยโครงการขุดลอกคลองระบายน้ำและกำจัดวัชพืชโครงการปรับปรุงและก่อสร้างสถานีสูบน้ำและประตูระบายน้ำ ตามที่ได้เกิดสภาวะน้ำท่วมหนัก ในลุ่ม แม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๘ อันสืบเนื่องมาจากฝนตกหนักในลุ่มน้ำตอนบน ทำให้ปริมาณน้ำจำนวนมากไหลหลากท่วมพื้นที่อย่างรุนแรงในลุ่มแม่น้ำยมและน่านเสริมกับปริมาณน้ำล้นอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ไปหลากท่วมพื้นที่ทางด้านท้ายน้ำอย่างหนัก และส่งผล กระทบต่สภาวะน้ำท่วมในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างซึ่งรวมถึงเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นเวลานานกว่า ๒ เดือน </span><br />
<span style="color: black;"> คืนวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่ดูแลปัญหาน้ำท่วมเข้าเฝ้าฯเพื่อรับพระราชทานแนวพระราชดำริการป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่บริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยทรงเปรียบเทียบการ<strong> กินอาหารของลิงหลังจากที่ลิง เคี้ยวกล้วยแล้วจะยังไม่กลืน แต่จะเก็บไว้ภายในแก้มทั้งสองข้างแล้วค่อย ๆ ดุนกล้วยมากินในภายหลัง </strong>เช่นเดียวกับกรณีการผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งน้ำที่ขึ้นมาตามซอยต่าง ๆ เมื่อน้ำทะเลหนุนให้ไปเก็บไว้ที่บึงใหญ่ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ชายทะเล และมีประตูน้ำขนาดใหญ่สำหรับปิดกั้นน้ำบริเวณแก้มลิงสำหรับฝั่งตะวันตกจะอยู่ที่คลองชายทะเลด้านฝั่งตะวันออกบริเวณแก้มลิงจะอยู่ที่คลองสรรพสามิต เมื่อเวลาน้ำทะเลลดลงให้เปิดประตูระบายน้ำออกไป บึงจะสามารถรับน้ำชุดใหม่ต่อไป </span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><img height="306" id="il_fi" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTJItqKkRgVS_bXgGzlfNQfNMfan2X71TycZ4Yp2Qe1o6aQ13Jgg-_QY-ao8gRARCZBR7cwhs_mSDIa1kVOauuhI5NVx70hH_bCjzPFhotLbbgM6Q_bIVLH29EGEOYhdTjUl9jPHEGLhdx/s400/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87.jpg8.jpg" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="346" /></span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><strong><span style="color: black;">แนวทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ คือ </span></strong></div><div align="left"><span style="color: black;"><strong>ประการแรก</strong> สร้างคันกั้นน้ำโดยปรับปรุงแนวถนนเดิม</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><strong>ประการที่ ๒ </strong> จัดให้มีพื้นที่สีเขียว (Green Belt) ตามพระราชดำริ</span></div><div align="left"><span style="color: black;">เพื่อกันการขยายตัวของเมืองและเพื่อแปรสภาพให้เป็นทางระบายน้ำ เมื่อมีน้ำหลาก</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><strong>ประการที่ ๓ </strong> ดำเนินการขุดลอกคลอง ขยายคลองที่มีอยู่เดิม</span></div><div align="left"><span style="color: black;">และขุดใหม่นอกแนวคันกั้นน้ำ</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><strong>ประการที่ ๔ </strong> สร้างสถานที่เก็บน้ำตามจุดต่าง ๆ </span></div><div align="left"><span style="color: black;"><strong>ประการที่ ๕</strong> ขยายช่องทางรับน้ำที่ผ่านทางรถไฟและทางหลวง กรมทางหลวงได้ดำเนินการตาม<strong> "โครงการพระราชดำริแก้มลิง" </strong>โดยใช้แนวถนนสุขุมวิทเป็นคันกั้นน้ำทะเลที่หนุนท่วมขึ้นมาบนชายฝั่งทะเล และใช้พื้นที่ด้านในของถนนสุขุมวิทเป็นพื้นที่พักน้ำที่ไหลมาจากตอนบนร้อมทั้งประสานงานกับกรมชลประทานและกรมโยธาธิการดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำตามคลองต่าง ๆ เลียบถนนสุขุมวิทตามแนวคลองชายทะเล โดยมีประสิทธิภาพในการสูบน้ำตามคลองต่าง ๆ คือ คลองตำหรุ คลองบางปลาร้า คลองบางปลา คลองเจริญราษฎร์ คลองด่าน คลองชลหารพิจิตร รวมปริมาณน้ำที่สามารถสูบออกทะเล ๒๖๗ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้น้ำตามคลองต่างๆ ของพื้นที่ด้านบนสามารถไหลลงสู่ด้านล่างได้สะดวกรวดเร็วขึ้น</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><strong><span style="color: black;">การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลตามแนวพระราชดำริ "แก้มลิง" มีลักษณะและวิธีการดังนี้ </span></strong></div><div align="left"><span style="color: black;">๑. ดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบน ให้ไหลลงคลองพักน้ำขนาดใหญ</span></div><div align="left"><span style="color: black;">่ที่บริเวณชายทะเล</span></div><div align="left"><span style="color: black;">๒. เมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำกว่าระดับน้ำในคลอง ก็ทำการระบายน้ำจากคลองดังกล่าว</span></div><div align="left"><span style="color: black;">โดยใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity Flow) ตามธรรมชาติ</span></div><div align="left"><span style="color: black;">๓. สูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่ <strong>"แก้มลิง" </strong>นี้ เพื่อทำให้น้ำตอนบนค่อยๆ </span></div><div align="left"><span style="color: black;">ไหลมาเองตลอดเวลา ส่งผลให้ปริมาณน้ำท่วมพื้นที่ลดน้อยลง</span></div><div align="left"><span style="color: black;">๔. เมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำในลำคลอง ให้ทำการปิดประตูระบายน้ำ</span></div><div align="left"><span style="color: black;">โดยยึดหลักน้ำไหลลงทางเดียว (One Way Flow)</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><strong><span style="color: black;">หลักการ ๓ ประการ ที่จะทำให้โครงการแก้งลิงมีประสิทธิภาพบรรลุผลสำเร็จตามแนวพระราชดำริ คือ การพิจารณา</span></strong></div><div align="left"><span style="color: black;">๑. สถานที่ที่จะทำหน้าที่เป็นบ่อพักและวิธีการชักนำน้ำท่วมไหลเข้าสู่บ่อพักน้ำ</span></div><div align="left"><span style="color: black;">๒. เส้นทางน้ำไหลที่สะดวกต่อการระบายน้ำเข้าสู่แหล่งที่ทำหน้าที่บ่อพักน้ำ</span></div><div align="left"><span style="color: black;">๓. การระบายน้ำออกจากบ่อพักน้ำต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><strong> "โครงการแก้มลิงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา" </strong>ใช้คลองชายทะเล</span></div><div align="left"><span style="color: black;">ตั้งอยู่ริมทะเลด้านจังหวัดสมุทรปราการทำหน้าที่เป็นบ่อพักน้ำหรือบ่อรับน้ำส่วน</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><strong>"โครงการแก้มลิง ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา" </strong>ทำหน้าที่รับน้ำ</span></div><div align="left"><span style="color: black;">ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อระบายออกทะเลด้านจังหวัดสมุทรสาคร</span></div><div align="left"><span style="color: black;">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริ เพื่อให้การระบายน้ำท่วม</span></div><div align="left"><span style="color: black;">ออกทะเลเร็วขึ้นด้วยวิธีการต่างๆอาทิ โครงการแก้มลิง <strong>"แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง"</strong>ซึ่งใช้หลักการ ในการควบคุมน้ำในแม่น้ำท่าจีน คือ เปิดระบายน้ำจำนวนมาก</span></div><div align="left"><span style="color: black;">ลงสู่อ่าวไทยเมื่อระดับน้ำทะเลต่ำ</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><strong><span style="color: black;">โครงการแก้มลิงแม่น้ำท่าจีนตอนล่างจะมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ต้องดำเนินการครบระบบ ๓ โครงการด้วยกัน คือ</span></strong></div><div align="left"><span style="color: black;">๑. โครงการแก้มลิง "แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง</span></div><div align="left"><span style="color: black;">๒. โครงการแก้มลิง "คลองมหาชัย-คลองสนามชัย"</span></div><div align="left"><span style="color: black;">๓. โครงการแก้มลิง "คลองสุนัขหอน"</span></div><div align="left"><strong><span style="color: black;"></span></strong></div><div align="left"><span style="color: black;">โครงการแก้มลิงนับเป็นนิมิตหมายที่จะนำพาชาวไทยให้รอดพ้นจากทุกข์ภัย ที่นำความเดือนร้อนแสนลำเค็ญมาสู่ชีวิตที่อบอุ่นปลอดภัยซึ่งแนวพระราชดำริอันเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านน้ำท่วมนี้ มีพระราชดำริเพิ่มเติมว่า</span></div><div align="left"><em><span style="color: black;">"...ได้ดำเนินการในแนวทาง ที่ถูกต้องแล้ว ขอให้รีบเร่งหาวิธีปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพต่อไปเพราะโครงการแก้มลิงในอนาคตจะสามารถช่วยพื้นที่ได้หลายพื้นที่..." </span></em></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><strong><span style="color: black;">โครงการที่3 โครงการแกล้งดิน</span></strong></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><img height="336" id="il_fi" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhe0HpQSsPv2pp2fj1gFIkIi82-SpW9pBhoVuu40ImJJvzjFqDJIb4JLFK-WwsM4YrXc420XHwcOB19unPrSUcwH4l6Hx0rGkTVbRxECYDgCll9FNUkb4eOKuSJ2H7WVqP1uWDQrdG-k8w/s320/STA41079-1.jpg" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="368" /></span></div><div align="left"><span style="color: black;"><br />
</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><span style="font-family: inherit;">แกล้งดิน เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด โดยมีการขังน้ำไว้ในพื้นท ี่จนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาเคมีทำให้ดินเปรี้ยวจัด จนถึงที่สุด แล้วจึงระบายน้ำออกและปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้ </span><span style="font-family: inherit;">หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ทรงพบว่า ดินในพื้นที่พรุที่มีการชักน้ำออก เพื่อจะนำที่ดินมาใช้ทำการเกษตรนั้น แปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดำริให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ำแช่ขังตลอดปีให้เกิด ประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุด และให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรียวัตถุ หรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบน และมีระดับความลึก ๑ - ๒ เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ำเงิน ซึ่งมีสารประกอบกำมะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (Pyrite : FeS2) อยู่มาก</span></span></div><div align="left"><span style="color: black;"><img height="304" id="il_fi" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhiG8CHYK-yJ74Zez-4gYQGywzw6Uc1Wm4XnflytDfJ6JzbYTDIb5KvKb1YgTlhJuyKBb0DQmMnEBNftFikB-1onKzkJEOq9XCSdO2sih6kfizoxbdPqFGtSuO5ODLK4obgxaYsh4YwuAyR/s400/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99.gif" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="346" /></span></div><div align="left"><span style="color: black;">ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทำปฏิกิริยากับอากาศ ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงได้ดำเนินการสนองพระราชดำริโครงการ " แกล้งดิน " เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ " แกล้งดินให้เปรี้ยว " คือทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น " แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด " จนกระทั่งถึงจุดที่พืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดำริ คือควบคุมระดับน้ำใต้ดิน เพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน จึงต้องควบคุมน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่ เพื่อมิให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์</span></div><div align="left"><span style="color: black;"><img height="326" id="il_fi" src="http://www.pikunthong.com/images/pic_soil.jpg" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="472" /></span></div><div align="left"><span style="color: black;">จากการทดลอง ทำให้พบว่า วิธีการปรับปรุงดินตามสภาพของดินและความเหมาะสม มีอยู่ ๓ วิธีการด้วยกัน คือ</span></div><div align="left"><ul><li><span style="color: black;">ใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด เพราะเมื่อดินหายเปรี้ยว จะมีค่า pH เพิ่มขึ้น หากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสเฟต ก็จะทำให้พืชให้ผลผลิตได้</span></li>
<li><span style="color: black;">ใช้ปูนมาร์ลผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน</span></li>
<li><span style="color: black;">ใช้ทั้งสองวิธีข้างต้นผสมกัน</span><span style="color: black;"><br />
</span></li>
</ul></div><span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<strong><span style="color: black;">โครงการที่4 โครงการสหกรณ์ อาชีพพระราชทาน</span></strong><br />
<span style="color: black;"><img height="316" src="http://kaewpanya.rmutl.ac.th/2552/images/stories/article/d_2_1.jpg" width="441" /></span><br />
<span style="color: black;">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถลึกซึ้งในการที่ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการสหกรณ์ให้ประชาชนทุกท้องที่ที่มีโครงการช่วยเหลือตามพระราชประสงค์ ให้รวมกลุ่มกันดำเนินธุรกิจในรูปของหมู่บ้านสหกรณ์ตามหลักวิธีการสหกรณ์ ทำมาหากินได้ดีขึ้น อยู่รวมกันด้วยความไว้วางใจซึ่ง กันและกัน และมีความผาสุกร่มเย็นโดยทั่ว ถึง ยังประโยชน์แก่พสกนิกรให้ได้รับความสมบูรณ์ในการประกอบอาชีพ และมีความสุขในการดำรงชีพอย่างใหญ่หลวง </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">พระองค์ได้พระราชทานวิธีการและแนวทางอันถูกต้อง เกี่ยวกับการพัฒนางานสหกรณ์ที่สมบูรณ์แบบและหวังผลสำเร็จได้ บนรากฐานของการช่วยตนเอง และช่วยซึ่งกันและกัน ตามหลักและวิธีการสหกรณ์ที่แท้จริง ทั้งเหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ จารีตประเพณี และวัฒนธรรมของประชาชนชาวไทยอีกด้วย </span><br />
<span style="color: black;"><img height="316" src="http://kaewpanya.rmutl.ac.th/2552/images/stories/article/d_2_2.jpg" width="413" /></span><br />
<span style="color: black;">ผลสำคัญอย่างหนึ่งอันสืบเนื่องมาจากพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนางานสหกรณ์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรากฏเด่นชัดในโครงการจัดสหกรณ์ตามพระราชประสงค์ในลักษณะหมู่บ้านสหกรณ์ ซึ่งทำหน้าที่ทั้งในด้านการจัดสหกรณ์การเกษตร และเป็นศูนย์พัฒนาชนบท เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับเกษตรกรทั่วไป เริ่มด้วยการจัดตั้งสหกรณ์ต่าง ๆ ในจังหวัดเพชรบุรี เป็นปฐม ต่อมาได้จัดให้มีขึ้นอีกหลายโครงการทั่วทุกภาคของประเทศไทย โครงการเหล่านี้อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานของกระทรวงและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และได้พัฒนาเป็นสหกรณ์การเกษตรที่มั่นคงในที่สุด อันได้แก่สหกรณ์กลัดหลวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สหกรณ์ทุ่งลุยลาย จังหวัดชัยภูมิ สหกรณ์โป่งกระทิง จังหวัดราชบุรี สหกรณ์โนนดินแดง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ สหกรณ์ทุ่งลิปะสะโง จังหวัดปัตตานี สหกรณ์สันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และสหกรณ์ห้วยสัตว์ใหญ่ จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ทั้งนี้วิธีการ ตามพระราชดำริดังกล่าวได้กลายเป็นแบบฉบับสำหรับการจัดสหกรณ์ที่ดินให้เกษตรกรยากจนไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองได้เข้ามาอาศัย ประกอบอาชีพ และดำเนินธุรกิจร่วมกันตามแบบสหกรณ์ในประเทศไทย โดยใช้หลักและวิธีการสหกรณ์แก้ไข ปัญหาต่าง ๆ ของสมาชิก เริ่มตั้งแต่การผลิตจนถึงการส่งผลิตผลไปจำหน่าย ทั้งเป็นแหล่งให้การศึกษา ส่งเสริม เผยแพร่ และสาธิตการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรแก่เกษตรกรอีกด้วย</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;"><img height="316" src="http://kaewpanya.rmutl.ac.th/2552/images/stories/article/d_2_3.jpg" width="466" /></span><br />
<span style="color: black;">ในด้านการจัดหาทุนเพื่อกิจการการผลิตพืชผลและการหาตลาดสำหรับพืชผลและผลิตผลที่สมาชิกสหกรณ์ผลิตได้นั้นได้ทรงแนะนำส่งเสริมที่ผ่านการทดลองให้เป็นแบบอย่างมาแล้วด้วยพระองค์เอง ให้สมาชิกสหกรณ์ได้รู้จักวิธีการออมทรัพย์เพื่อเป็นทุน การจัดหาน้ำและการบำรุงดิน การใช้พันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่ดี เหมาะสมและมีผลิตภาพสูง การใช้เครื่องมือและวิธีการที่จะช่วยทุ่นแรงและประหยัด การเก็บรักษาพืชผลและผลิตผล การแปรรูปพืชผลและผลิตผลของสมาชิกเพื่อจำหน่าย ตลอดจน การจัดธนาคารข้าว รวมทั้งการเริ่มงานธนาคาร แรงงานสัตว์ คือ ธนาคารโค กระบือ และการเชื่อมประสานงานฝ่ายต่าง ๆ ของสหกรณ์ เพื่อบริการแก่สมาชิกในรูปสหกรณ์อเนกประสงค์ ซึ่งทำธุรกิจหลายอย่างที่จำเป็น ตามความต้องการของสมาชิก ยังผลให้สมาชิกสหกรณ์ได้รับความสะดวกในการประกอบอาชีพ และมีรายได้จากผลิตผลของตนสูงขึ้น อันเป็นที่ประจักษ์แก่เกษตรกรและพสกนิกรโดยทั่วไป </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">จากวันนั้นถึงวันนี้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ต่างปลื้มปีติและนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้มีการจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือราษฎรให้ได้มีโอกาสเพื่อการผลิตและการตลาดที่ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลไกทางการค้าของสังคมยุคปัจจุบันได้</span><br />
<span style="color: black;"><img src="http://kaewpanya.rmutl.ac.th/2552/images/stories/article/d_2_4.jpg" /></span><br />
<span style="color: black;">ณ วันนี้สหกรณ์ สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรสมาชิก ตลอดถึงนิคม สหกรณ์ สหกรณ์นิคม ทั่วทั้งแผ่นดินไทยต่างรับทราบเป็นอย่างดีว่า วิถีชีวิตที่ดีขึ้นและมั่นคงในทุกวันนี้เกิดขึ้นได้ก็ด้วยพระราชดำริให้มีการนำหลักการสหกรณ์ และการจัดตั้งสหกรณ์มาใช้ในสังคมการผลิตภาคการเกษตรจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง.</span><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<strong><span style="color: black; font-family: inherit;">โครงการที่5 โครงการหญ้าแฝก</span></strong><br />
<br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="http://www.mtb24.net/UserFiles/Image/news/3/d1.gif" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="http://www.mtb24.net/UserFiles/Image/news/3/d1.gif" style="-ms-interpolation-mode: nearest-neighbor;" width="400" /></a><span style="color: black;"><span style="font-family: inherit;"><strong></strong></span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="color: black;"><span style="font-family: inherit;"><strong>ทฤษฎีการ</strong></span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: inherit;"><strong>ป้องกันการเสื่อมโทรมและพังทลายของดินโดยหญ้าแฝก <br />
พืชจากพระราชดำริ : กำแพงที่มีชีวิตในการอนุรักษ์<br />
และคืนธรรมชาติสู่แผ่นดิน </strong>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงสภาพปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน<br />
และการสูญเสียหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ จึงทรงศึกษาถึงศักยภาพของ “หญ้าแฝก” <br />
ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของไทย ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยป้องกันการชะล้างพังทลาย<br />
ของหน้าดินและอนุรักษ์ความชุ่มชื้นใต้ดิน ซึ่งมีวิธีการปลูกแบบง่าย ๆเกษตรกรสามารถ</span></span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://siweb.dss.go.th/sci60/team100/royalpro/image/grass/image002.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img align="left" border="0" height="154" src="http://siweb.dss.go.th/sci60/team100/royalpro/image/grass/image002.jpg" width="254" /></a></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องให้การดูแลหลังการปลูกมากนัก ทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย<br />
กว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการศึกษาทดลอง<br />
เกี่ยวกับหญ้าแฝก ลักษณะของหญ้าแฝก หญ้าแฝกมีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่าVetiver Grass มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ หญ้าแฝกดอน (Vetiveria nemoralis A. Camus) และหญ้าแฝกหอม (Vetiveria zizanioides Nash) เป็นพืชที่มีอายุได้หลายปี ขึ้นเป็นกอแน่น มีใบเป็นรูปขอบขนานแคบปลายสอบแหลม ยาว 35-80 ซม.มีส่วนกว้าง 5-9 มม. หญ้าแฝกจะมีการขยายพันธุ์ที่ได้ผลรวดเร็ว โดยการแตกหน่อจากลำต้นใต้ดิน ในบางโอกาสสามารถแตกแขนงและรากออกในส่วนของก้านช่อดอกได้ เมื่อหญ้าแฝกโน้มลงดินทำให้มีการเจริญเติบโตเป็นกอหญ้าแฝกใหม่ได้ <br />
<span style="font-family: inherit;"><strong><span style="color: navy;"><span style="color: black;">การใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ</span> </span></strong>1.การปลูกเป็นแถวตามระดับขวางความลาดชัน เพื่อชะลอความเร็วของน้ำ <br />
และดักตะกอนดิน ส่วนน้ำจะไหลซึมลงไปสู่ดินชั้นล่างได้มากขึ้น เป็นการเพิ่ม <br />
ความชุ่มชื้นในดิน ส่วนรากหญ้าแฝกจะหยั่งลึกลงไปในดินอาจถึง 3 เมตร <br />
ซึ่งสามารถยึดดินป้องกันการพังทลายได้ <br />
<br />
2.การปลูกเพื่อแก้ปัญหาการพังทลายของดินเป็นร่องน้ำลึก <br />
<br />
3.การปลูกในพื้นที่ที่มีความลาดชัน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคใต้ ให้ปลูกหญ้าแฝก<br />
เป็นแนวรั้วบริเวณคันคูขอบเขา หรือริมขั้นบันไดดินด้านนอก โดยควรปลูกเป็นแถว<br />
ตามแนวขวางความลาดเทในต้นฤดูฝน <br />
<strong><span style="color: navy;">การใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ </span></strong>1.การปลูกเป็นแถวตามระดับขวางความลาดชัน เพื่อชะลอความเร็วของน้ำ <br />
และดักตะกอนดิน ส่วนน้ำจะไหลซึมลงไปสู่ดินชั้นล่างได้มากขึ้น เป็นการเพิ่ม <br />
ความชุ่มชื้นในดิน ส่วนรากหญ้าแฝกจะหยั่งลึกลงไปในดินอาจถึง 3 เมตร <br />
ซึ่งสามารถยึดดินป้องกันการพังทลายได้ </span><br />
<span style="font-family: inherit;">2.การปลูกเพื่อแก้ปัญหาการพังทลายของดินเป็นร่องน้ำลึก </span><br />
<span style="font-family: inherit;">3.การปลูกในพื้นที่ที่มีความลาดชัน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคใต้ ให้ปลูกหญ้าแฝก<br />
เป็นแนวรั้วบริเวณคันคูขอบเขา หรือริมขั้นบันไดดินด้านนอก โดยควรปลูกเป็นแถว<br />
ตามแนวขวางความลาดเทในต้นฤดูฝน </span><br />
<span style="font-family: inherit;">4.การปลูกเพื่อการอนุรักษ์ความชุ่มชื้นในดิน โดยปลูกแถวหญ้าแฝกขนานไปกับแถว<br />
ของไม้ผล ปลูกแบบวงกลมรอบไม้ผล และปลูกแบบครึ่งวงกลมหงายรับน้ำฝน <br />
<br />
5.การปลูกเพื่อป้องกันการเสียหายของขั้นบันไดดินหรือคันคูรับน้ำรอบเขา <br />
<br />
6.การปลูกเพื่อป้องกันตะกอนดินทับถมลงสู่คลองส่งน้ำ ระบายน้ำ อ่างเก็บน้ำในไร่นา<br />
ตลอดจนปลูกรอบสระ หรือปลูกเป็นแถวขนานไปกับแม่น้ำ ลำคลองเพื่อกรอง<br />
ตะกอนดิน<br />
<br />
7.การปลูกเพื่อฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรม <br />
<br />
8.การปลูกเพื่อป้องกันการพังทลายของไหล่ถนนที่ลาดชันสูง โดยปลูกหญ้าแฝก<br />
เพื่อยึดดินและเบี่ยงเบนทางน้ำไหลบริเวณไหล่ทาง และปลูกขวางแนวลาดเท<br />
เพื่อป้องกันการพังทลายและเลื่อนไหลของดิน </span><br />
<span style="font-family: inherit;"> 9.การปลูกในพื้นที่ดินดาน รากหญ้าแฝกสามารถหยั่งลึกลงไปในดินดาน <br />
ทำให้ดินแตกร่วนขึ้น และหน้าดินจะมีความชื้นเพิ่มขึ้น <br />
<br />
10.การปลูกเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ รากหญ้าแฝกจะเป็นกำแพง<br />
กักกั้นดินและสารพิษที่ปะปนมากับน้ำไม่ให้ไหลลงสู่แหล่งน้ำเบื้องล่างและรากยังมี<br />
ประสิทธิภาพในการดูดซับธาตุโลหะหนักและสารเคมีบางอย่างได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น <img align="right" height="143" src="http://siweb.dss.go.th/sci60/team100/royalpro/image/grass/pgra23.gif" width="234" /><br />
<br />
<span style="color: black;"><b>ประโยชน์เอนกประสงค์อื่น ๆ ของหญ้าแฝก </b></span><br />
1.ปลูกหญ้าแฝกบนคันนา เพื่อให้คันนาคงสภาพอยู่ได้นาน <br />
<br />
2.ปลูกหญ้าแฝกเพื่อใช้ประโยชน์มุงหลังคา ตับหลังคาที่ทำจากหญ้าแฝกสามารถผลิต<br />
จำหน่ายได้ ส่วนรากที่มีความหอมนั้นคนไทยรุ่นเก่าเคยนำมาแขวนในตู้เสื้อผ้าทำให้<br />
มีกลิ่นหอมและช่วยไล่แมลงที่จะทำลายเสื้อผ้าได้ <br />
<br />
3.หญ้าแฝกมีสรรพคุณช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการท้องอืดเฟ้อ และแก้ไข้ได้ ส่วนราก<br />
สามารถนำมาสกัดทำน้ำมันที่มีประโยชน์และคุณค่าทางการค้าได้ อาทิเช่น <br />
ฝรั่งเศสผลิตน้ำหอมจากรากหญ้าแฝก ชื่อ “Vetiver”</span><br />
<br />
จากการดำเนินงานที่ทุกหน่วยงานได้ร่วมมือกันให้เป็นไปตามพระราชดำริ ทำให้มี<br />
ผลการศึกษาและการปฏิบัติได้ผลอย่างชัดเจน จนเป็นที่ยอมรับจากธนาคารโลกว่า <br />
<span style="color: navy;">“ประเทศไทยทำได้ผลอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม” </span>เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ <br />
พ.ศ. 2536 International Erosion Control Association(IECA) ได้มีมติ<br />
ถวายรางวัลThe International Erosion Control Association’s International <br />
Merit Award แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำ<br />
หญ้าแฝกมาใช้ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2536 <br />
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำแห่งธนาคารโลก ได้นำคณะเข้าเฝ้า <br />
ทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้า ฯ ถวายแผ่นเกียรติบัตรเป็นภาพรากหญ้าแฝกชุบสำริด <br />
ซึ่งเป็นรางวัลสดุดีพระเกียรติคุณ (Award of Recognition) ในฐานะที่ทรงมุ่งมั่น<br />
ในการพัฒนาและส่งเสริมการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และผลการดำเนิน<br />
งานหญ้าแฝกในประเทศไทยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก ความอุดมสมบูรณ์ <br />
ของผืนแผ่นดินที่กลับคืนมานี้ เป็นเพราะพระวิริยะอุตสาหะและพระปรีชาญาณอันยาวไกล<br />
แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาหนทางในการแก้ไข<br />
ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยที่กำลังถูกทำลายไป<br />
อย่างรวดเร็วทั้งนี้เพื่อความมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขของประชาชนอย่างแท้จริง<br />
<br />
<br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">รายชื่อผู้จัดทำ</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">นางสาวปรียานุช บุญปฎิมากร รหัส53492441060</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">นายธนกร ป้อมหลักทอง รหัส53492441069</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">นางสาวสรินดา บุญสิงห์ศร รหัส53492441071</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">นายจิระพงศ์ จันทรทองภัคดี รหัส53492441075</span><br />
<span style="font-family: Arial;">นาสาวสุธาสินี คำเกตุ รหัส53492441079</span><br />
<span style="font-family: Arial;">นางสาวกฤษณา แซ่ฉั่ว รหัส53492441094</span><br />
<span style="font-family: Arial;">นางสาวปทุมพร เปรมใจ รหัส53492441097</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">นายกิติโชติ แก้วคง <span style="font-family: "Angsana New", "serif"; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span style="mso-spacerun: yes;"> <span style="font-family: Arial;">รหัส53492441100</span> </span></span></span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-family: "Angsana New", "serif"; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span style="font-size: x-large; mso-spacerun: yes;">นางสาวอมรรัตน์ วัฒนะพงศกร รหัส53492441110</span></span></span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt;"><strong></strong></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: "Angsana New", "serif"; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><strong></strong></span></span></span></div><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<dir><b><span style="color: #e23fca;"></span><b><span style="color: #e23fca;"> </span></b></b></dir>พระราชกรณียกิจhttp://www.blogger.com/profile/05137124023556790968noreply@blogger.com0